วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตกำนัน.. สุเทพ เทือกสุบรรณ


สุเทพ เทือกสุบรรณ



             สุเทพ เทือกสุบรรณ เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 มีบิดาชื่อ นายจรัส เทือกสุบรรณ กำนันตำบลท่าสะท้อน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี และนางละม้าย เทือกสุบรรณ มีพี่น้องทั้งหมด 7 คนโดยนายสุเทพ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะศิลปศาสตร์ สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Middle Tennesse State ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2518

          ภายหลังจากการจบการศึกษาระดับปริญญาโท นายสุเทพตัดสินใจเข้าสู่วงการการเมืองระดับท้องถิ่น ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งกำนันตำบลท่าสะท้อนต่อจากบิดา และสามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้สำเร็จ เป็นกำนันดีกรีปริญญาโท ตั้งแต่อายุ 26 ปีเท่านั้น

          นายสุเทพ แต่งงานกับภรรยาคนแรก คือ นางจุฑาภรณ์ เทือกสุบรรณ มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือนายแทน เทือกสุบรรณ, นางสาวน้ำตาล เทือกสุบรรณ และนางสาวน้ำทิพย์ เทือกสุบรรณ ต่อมา เมื่อนางจุฑาภรณ์เสียชีวิตลง นายสุเทพจึงต้องกลายเป็นพ่อหม้าย ภายหลัง นายสุเทพ จึงได้แต่งงานกับนางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ น้องสาวของนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ 


ครอบครัวสุเทพ เทือกสุบรรณ (ลูกที่เกิดจากภรรยาคนแรก)


         ในส่วนของลูก ๆ ของนายสุเทพนั้น นายแทน เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นลูกชายคนโต จบการศึกษาปริญญาตรี ด้านเศรษฐศาสตร์ จากเมลเบิร์นยูนิเวอร์ซิตี้ ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท ศรีสุบรรณฟาร์ม และเคยตกประเด็นทางการเมืองกรณีการถือครองที่ดินบนเกาะสมุย ส่วนน้ำตาล และน้ำทิพย์ เทือกสุบรรณ ไม่ได้มีบทบาทในทางการเมือง แต่เคยปรากฏตัวในแวดวงสังคมอยู่ประปราย




 
         ปัจจุบันกำนันสุเทพได้สมรสกับนางศรีสุกุล นางศรีสกุล พร้อมพันธุ์  จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในสมัยที่เรียนอยู่ นางศรีสกุล เคยได้รับตำแหน่งดาวจุฬาฯ ภายหลัง ศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ได้ลงเล่นการเมือง และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2531 พร้อมกับพี่ชาย คือ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ แต่เล่นการเมืองเพียงสมัยเดียวเท่านั้น นางศรีสกุล ก็หันหลังไปทำธุรกิจส่วนตัวด้านอสังหาริมทรัพย์แทน

          ด้านชีวิตสมรส นางศรีสกุล เคยสมรสกับ นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายสิทธิพัฒน์ เตชะไพบูลย์ (โขง), นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ขิง) และ นางสาวธีราภา พร้อมพันธุ์ (เข็ม) กระทั่งหย่าร้างกัน นางศรีสกุล จึงได้มาใช้ชีวิตกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 




ครอบครัว เทือกสุบรรณ
         
       ในจำนวนลูก ๆ ทั้ง 3 คนของนางศรีสกุลนี้ มีเพียง นายเอกนัฏ ที่เข้าสู่วงการการเมือง โดย นายเอกนัฏ จบการศึกษาปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และบริหารธุรกิจ (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แล้วกลับมาเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นก็ตัดสินใจเข้าสู่การเมืองด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 29 (หนองแขม-ทวีวัฒนา) เมื่อปี 2554 จนได้รับเลือกตั้ง ถือเป็น ส.ส. ที่อายุน้อยที่สุด ด้วยวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น


       สุเทพ เทือกสุบรรณ กับเส้นทางการเมือง

          หลังจากเป็นกำนันอยู่หลายปี ในที่สุด นายสุเทพก็ตัดสินใจขยับไปสู่การเมืองระดับประเทศ ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อ ปี พ.ศ. 2522 ซึ่งนายสุเทพก็สามารถชนะใจประชาชน ได้รับเลือกเป็น ส.ส. ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงวันนี้นายสุเทพก็ได้รับเลือกเป็น ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ติดต่อกันมากกว่า 10 สมัยแล้ว


          ส่วนการดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกของนายสุเทพ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2529 ในยุครัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยนายสุเทพ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และได้ดำรงตำแหน่งนี้อีกครั้งใน พ.ศ. 2535 ยุครัฐบาลชวน หลีกภัย สมัยแรก นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในปี พ.ศ. 2540 ยุครัฐบาลชวน หลีกภัย สมัยที่สอง


สุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจาก ส.ส. ก็ได้เป็นแกนนำคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

          ภายหลังจากที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยุบสภาใน พ.ศ. 2554 และมีการเลือกตั้งใหม่ ผลปรากฏว่า พรรคเพื่อไทย เป็นฝ่ายได้จัดตั้งรัฐบาล ผลักพรรคประชาธิปัตย์ให้ไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ได้บริหารประเทศไปได้ 2 ปี (พ.ศ. 2556) แต่สถานการณ์ทางการเมืองก็เริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ จากกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล เนื่องจากไม่พอใจกับนโยบายการบริหารของรัฐบาล ที่ใช้ประชานิยมเต็มรูปแบบทำให้เกิดภาวะขาดทุนทางการคลัง เช่น โครงการรับจำนำข้าว, โครงการรถคันแรก, โครงการรถไฟความเร็วสูง กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท


          อย่างไรก็ตาม ฟางเส้นสุดท้ายของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลได้แก้ไข เนื้อหา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จากที่นิรโทษกรรมแก่ประชาชน กลายเป็นนิรโทษกรรมแกนนำ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีทุจริตต่าง ๆ ส่งผลให้นายสุเทพ ได้ประกาศจัดการชุมนุมขึ้น ณ สถานีรถไฟสามเสน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556 และในคืนนั้นเอง สภาผู้แทนราษฎรก็สามารถลงมติ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับดังกล่าว วาระ 2 และ 3 ภายในคืนเดียว เสร็จสิ้นทุกขั้นตอนภายในเวลา 04.30 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556

          ต่อมาวันที่ 4 พฤศจิกายน 2556 นายสุเทพ ในฐานะแกนนำผู้ชุมนุม ได้ประกาศย้ายสถานที่ชุมนุมจากสถานีรถไฟสามเสน มาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมกับเดินหน้าคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 นายสุเทพ พร้อมกับ 8 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. และประกาศมาตรการอารยะขัดขืน เพื่อกดดันรัฐบาล เช่น การหยุดงาน การยุดเรียน การเลื่อนจ่ายภาษี เป็นต้น

          
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 นายสุเทพ ได้ประกาศยกระดับการชุมนุมขึ้น จากคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นต่อต้านระบอบทักษิณ ได้แก่ การล่ารายชื่อถอดถอน ส.ส. 310 คน ที่ลงมติให้ผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม, การต่อต้านสินค้าในเครือทักษิณ และการชวนข้าราชการหยุดงานทั้งประเทศ เป็นต้น อีกทั้งยังได้ประกาศรวมพล 1 ล้านคน ล้างระบอบทักษิณ และปฏิรูปประเทศไทย ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้



ตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดของสุเทพ เทือกสุบรรณ



                          - เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

                                - เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

                                - เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
                                - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
                                - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
                                - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
                                - รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง




          ทั้งหมดนี้ก็คือประวัติของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์

 ในฐานะลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย              ที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.)




......................................................................................

มหาราชชาติไทย

 มหาราช เป็นคำที่ประชาชนถวายแด่ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงประกอบด้วยทศพิธราชธรรม และนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติ และประชาชนอย่างใหญ่หลวง
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สมเด็จพระปิยะมหาราช
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า(รัชกาลที่ 6)
สมเด็จพระภัทรมหาราช (รัชกาลที่ 9)
มหาราชแห่งชาติไทย ตามประวัติศาสตร์ กล่าวได้ 10 พระองค์ แต่มิได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ คือ พระเจ้าพรหมมหาราช และ พ่อขุนเม็งรายมหาราช ทั้งสองพระองค์ทรงครองไพร่ฟ้า อยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย


พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรือง ให้แก่อาณาจักรสุโขทัย ทรงขยายอาณาจักรให้กว้างขวาง ปกครองประชาราษฎร์ ให้ได้รับความสุข ยุติธรรมเสมือน "พ่อปกครองลูก" ทรงส่งเสริมการค้าโดยเสรี ทรงริเริ่มประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เอง เมื่อปี พ.ศ. 1826 นับเป็นต้นกำเนิดอักษรไทยที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้ และทรงรับเอาพระพุทธศาสนาจากลังกาเข้ามา เป็นศาสนาประจำชาติไทย.


สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย ภายหลังที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ในรัชสมัยของพระองค์ ทรงทำการศึกสงคราม และเอาชนะข้าศึกหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญที่สุดคือ ใน พ.ศ. 2135 พระมหาอุปราชาของพม่าได้ยกทัพมาตีไทย พระองค์ทรงชนช้างกระทำยุทธหัตถี และทรงฟันพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้าง ตั้งแต่นั้นมาพม่าก็เกรงกลัว เลิกยกทัพมารุกรานไทยอีก.


สมเด็จพระนารายณ์มหาราช 
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ ในการปกครองประเทศ ทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ทรงติดต่อเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศ ทรงติดต่อการค้ากับชาวต่างชาติ และเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ก็ทรงแก้ไขด้วยความเฉลียวฉลาด ทรงพระปรีชาในด้านกวี และทรงส่งเสริมการกวี จนเป็นเหตุให้เกิดมีกวีที่มีชื่อเสียงหลายคน มีวรรณคดีเกิดขึ้นหลายเล่ม นับเป็นยุคทองแห่งวรรณคดีไทย



สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 
หรืออีกพระนามหนึ่งว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310 และสร้างกรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่ของไทย ทรงปราบปรามผู้ก่อตั้งชุมนุมต่างๆ จนราบคาบ และรวบรวมประเทศชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงกระทำสงครามจนได้รับชัยชนะ ขยายอาณาเขตประเทศออกไปอย่างกว้างขวาง.





พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงสร้างกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีของไทย ทรงกระทำศึกสงครามกับพม่าหลายครั้ง ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง ทรงสร้างปราสาทราชวัง ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากเวียงจันทร์ สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดอื่นๆ ทรงรื้อฟื้นสังคยานาพระไตรปิฎก รวบรวมกฎหมายตราสามดวง และโปรดให้แต่งบทละครต่างๆ ขึ้นแทนของเก่าที่ถูกพม่าเผาทำลา
ย.


สมเด็จพระปิยะมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา เป็นที่รักยิ่งของประชาชน ทรงนำประเทศชาติรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้น ของประเทศมหาอำนาจหลายครั้ง จนประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเซียเฉียงใต้ ที่รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น ทรงปรับปรุงประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมอารยะประเทศ ทรงโปรดให้เลิกทาส ให้มีการรถไฟ การไปรษณีย์ การไฟฟ้าและการประปาขึ้นเป็นครั้งแรก.


สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาในด้านอักษรศาสตร์ ทั้งพระราชนิพนธ์ บทละคร ประวัติศาสตร์ เรื่องแปล สารคดี เรื่องปลุกใจให้รักชาติ ทรงนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ทรงตั้งกองลูกเสือไทย ส่งเสริมการศึกษา ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา ทรงสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดตั้งธนาคาร ประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล ออกแบบธงไตรรงค์ขึ้นใช้.


สมเด็จพระภัทรมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเปรียบเสมือน "พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย" ทรงพระปรีชาสามารถในทุกแขนงวิชา ทรงรักและห่วงใยพสกนิกร และแก้ไขปัญหาต่างๆ ทรงริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิต่างๆ ทรงค้นคว้า วิจัย การทำฝนเทียม ด้านการเกษตร การชลประทาน การสาธารณสุข และอื่นๆอีกมากมาย ทรงส่งเสริมความรักและสามัคคีให้เกิดในชาติ ทรงดูแลทุกข์สุขประชาชน ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงงานหนักมากที่สุดของโลก


วีรชน 14 ตุลา ประวัติศาสตร์ที่ควรจดจำ

        
                   14ตุลา ประวัติศาสตร์ที่ควรจดจำ

    เหตุการณ์ที่รู้จักกันในนามสั้น ๆ ว่า " 14 ตุลา " นั้นเป็นปรากฏการณ์ ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2516 เยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ร่วมกับประชาชนจำนวนแสน เรียกร้องให้รัฐบาลคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ปลดปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง 13 คน 





           ถูกจับกุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหาว่ากระทำการผิดกฏหมาย มั่วสุมชักชวนให้มีการชุมนุมทางการเมืองในที่สาธารณะเกินกว่า 5 คน เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐและเป็นกบฏภภายในพระราชอาณาจักร และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ระหว่างวันที่ 9 - 12 ตุลาคม นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชน มาชุมนุมประท้วง โดยสันติวิธี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันเสาร์ที่ 13 ประชาชนเดินขบวน สำแดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่ดูประหนึ่งว่า กระแสคลื่นมนุษย์จะท่วมท้นถนนราชดำเนิน ในวันที่ 14 - 15 ถัดมาก็เกิดความรุนแรง เยาวชนคนหนุ่มสาวถูกปราบปรามด้วยอาวุธร้าย เป็นผลให้เกิดการลุกขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด และแล้วเผด็จการก็ล้มลง ผู้นำคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ นับแต่หลัง   เที่ยงคืนของวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมประท้วงกันมาหลายวันหลายคืนก็มารวมกันอยู่ที่บริเวณหน้าสวนจิตรลดาอย่างแน่นขนัด เพื่อหวังพระบารมีเป็นที่พึ่ง เวลาประมาณตี 5 ขณะที่มีการเริ่มสลายตัวของฝูงชนก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น เชิดสกุล เมฆศรีวรรณ นักหนังสือพิมพ์ที่ทั้งเห็นเหตุการณ์วิกฤตและสูญเสียดวงตาไปหนึ่งดวงในวันนั้น เล่าว่าที่บริเวณหน้าสวนจิตรลดา ช่วงถนนพระราม 5 ใกล้กับถนนราชวิถี พ.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร ผู้แทนพระองค์ ได้อ่านพระบรมราโชวาทให้ฝูงชนฟัง จบแล้วฝูงชนก็เริ่มสลายตัวตามพระราชประสงค์ กลุ่มนักเรียนอาชีวะถือว่าเป็นหน่วยกล้าตายที่มีอาวุธพวกไม้และแป๊ปน้ำกันเกือบทุกคน ต่างได้ทิ้งอาวุธ พร้อมกับทำลายระเบิดขวด ฝูงชนที่จะกลับทางถนนราชวิถี แต่ถูกสกัดกั้นด้วยตำรวจคอมมานโด ตำรวจเหล่านี้มีไม้พลอง โล่ หวาย และปืนยิงแก๊สน้ำตา ภายใต้การบัญชาการของ พล.ต.ท.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น และพล.ต.ต.ณรงค์ มหานนท์ ฝูงชนเมื่อรู้แน่ว่าไม่ได้รับการอนุญาตให้
ออกไป ก็เริ่มมีปฏิกริยาด้วยการใช้ ข้าวห่อขว้างปาใส่ตำรวจ ฝูงชนที่ถูกสกัดกั้นรายหนึ่งได้ใช้ท่อนไม้ขว้างใส่ตำรวจ ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บนายหนึ่ง หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที รถตำรวจที่ใช้ปราบจลาจลติดไซเรนสองคันก็พุ่งเข้าใส่กลุ่มฝูงชน โดยมีตำรวจคอมมานโดสวมหมวกกันน็อคทั้งนครบาลและกองปราบ พร้อมด้วยสองนายตำรวจผู้อื้อฉาวจากคดีทุ่งใหญ่ก็ตามเข้าไปใช้กระบองหวดเข้าฝูงชนทันทีไม่ว่าเด็กหรือผู้หญิง การนองเลือดได้เริ่มจากจุดนี้ พร้อมเหมือนกับเป็นการสร้างความเครียดแค้นให้ฝูงชนมากขึ้น เมื่อเห็นเด็กนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งถูกแก๊สน้ำตาจนล้มฟุบ ฝูงชนที่หนีได้ก็ปีนป่ายกำแพงเข้าไปในสวนสัตว์และใช้ก้อนหินขว้างปาใส่ตำรวจ อีกส่วนหนึ่งก็กรูกันเข้าวังสวนจิตรลดาฯ โดยมีมหาดเล็กเป็นคนเปิดให้เข้าไป การปะทะใช้เวลาประมาณ 15 นาที คือ เริ่มตั้งแต่เวลา 6.30 - 6.45 น. จากจุดปะทะเล็ก ๆ ณ บริเวณหน้าสวนจิตรลดา ฯ เหตุการณ์ก็บานปลายลุกลาม ไปอย่างไม่มีใครคาดคิดไว้ รัฐบาลใช้กำลังทหารและตำรวจปราบปรามผู้ชุมนุมที่มา ประท้วงอย่างรุนแรง ในขณะที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชน ตอบโต้ด้วยการก่อความวุ่นวายบุกเข้ายึดและทำลายสถานที่บางแห่งที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเผด็จการคณาธิปไตย โดยพยายามยึดกรมประชาสัมพันธ์ที่ให้ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนตลอดจากสถานีตำรวจ นับตั้งแต่ 10.00 น. เป็นต้นไป รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เป็นระยะ ๆ กล่าวหาว่ามีกลุ่มนักเรียนบุกรุกเข้าไปในพระราชฐานสวนจิตรลดาและก่อวินาศกรรม ในขณะเดียวกันก็เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่า นักศึกษาหญิงที่ถือธงไตรรงค์ ในวันเดินขบวนถูกตำรวจตีตาย เด็กผู้ชายถูกถีบเตะตกคูน้ำจนตาย สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้ร่วมชุมนุมเป็นอย่างยิ่ง สถานการณ์จึงรุนแรงหนักขึ้น รัฐบาลส่งทหารและตำรวจออกปราบ มีทั้งรถถังและเฮลิคอปเตอร์ จุดปะทะและนองเลือดมีตลอดสายถนนราชดำเนิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บางลำพู เป็นเวลาถึง 10 ชั่วโมง พร้อม ๆ กับมีคำสั่งห้ามประชาชนออกนอกบ้านระหว่าง 22.00 - 05.30 น. ประกาศปิดโรงเรียน และสถาบันการศึกษาในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการและกำหนดให้บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และกรมศิลปากรเป็นเขตอันตราย เตรียมพร้อมที่จะทำการกวาดล้างใหญ่ 14.00 น. สำนักงานกองสลากกินแบ่ง และตึก กตป. 
ถูกไฟเผา นักเรียนและประชาชนต่อสู้อย่างทรหด ยึดรถเมล์ให้วิ่งชนรถถังแต่ก็ถูกยิงเสียชีวิต ผู้บาดเจ็บถูกหามเข้าส่งโรงพยาบาลศิริราชตลอดเวลา 18.00 น. จอมพลถนอม กิตติขจร ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 19.15 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสทางวิทยุและโทรทัศน์ ความตอนหนึ่งว่า "วันนี้เป็นวันมหาวิปโยค เกิดการปะทะกัน และมีคนได้รับบาดเจ็บ ความรุนแรงได้ทวีขึ้นทั้งพระนคร ถึงขั้นจลาจล มีคนไทยด้วยกันต้องเสียชีวิต ทรงขอให้ทุกฝ่ายระงับเหตุแห่งความรุนแรง" และทรงแต่งตั้งศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ องคมนตรี และนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแทน สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี มีพระราชดำรัส ทางโทรทัศน์ ์แสดงความห่วงใย และ 23.30 น. ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ปราศัยทางโทรทัศน์ โดยขอให้ทุกฝ่ายคืนสู่ความสงบ และประกาศจะใช้รัฐธรรมนูญภายใน 6 เดือน อย่างไรก็ตาม 24.00 น. ของคืนวันนั้น จอมพล ถนอม กิตติขจร ในตำแหน่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังคงออกแถลงการณ์ว่ามีผู้ที่พยายามนำลัทธิการปกครองอื่นที่เลวร้ายมาล้มล้างการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงขอให้เจ้าหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่จนสุดความสามารถ ซึ่งก็คือการปราบปรามนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนก็ยังคงดำเนินไป ตลอดคืนนั้นมีการต่อสู้ระหว่างนักเรียน ประชาชน แลตำรวจ ที่กองบัญชาการ ตำรวจนครบาลผ่านฟ้าฝ่ายนักเรียนและประชาชนปักหลักสู้จากตึกบริษัทเดินอากาศไทย และป้อมพระกาฬ ส่วนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีการชุมนุมอยู่อีกเป็นจำนวนเกือบหมื่น ผู้นำศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาได้ขาดการติดต่อ ซ้ำมีข่าวลือว่าบางคนเสียชีวิต เช่น เสกสรร ประเสริฐกุล และเสาวณีย์ ลิมมานนท์ จึงมีการจัดตั้งศูนย์ปวงชนชาวไทย ขึ้นชั่วคราวเพื่อประสานงานและคลี่คลายสถานการณ์ มี จีรนันท์ พิตรปรีชา เป็นหนึ่งในแถบถนนราชดำเนินเป็นสีแดง มีไฟควันพวยพุ่งอยู่เป็นหย่อม ๆ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยดำเนินไปตลอดคืน จากข้อเท็จจริงที่ว่า แม้จอมพลถนอม กิตติขจร จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่และก็ยังปรากฏว่า การปราบปราม นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนยังดำเนินอยู่ต่อไป พร้อมกับมีแถลงการณ์ว่า มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ส่งพลพรรคมีอาวุธร้ายแรงสวมรอยเข้ามา ยิ่งทำให้เห็นว่าเป็นการสร้างความเท็จ สร้างความโกรธแค้นและเกลียดชังยิ่งขึ้น ทำให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนเกิดพลังในการต่อสู้ต่อไป แม้จะบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากก็ตาม จากการปราบปรามอย่างรุนแรงและไร้มนุษยธรรม ใช้ทั้งรถถัง เฮลิคอปเตอร์ อาวุธสงครามหนัก ทหารและตำรวจจำนวนร้อยนาย ทำให้เกิดความขัดแย้งในวงการรัฐบาลอย่างหนัก มีทหารและตำรวจที่ไม่เห็นด้วย พลเอก กฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบกเองก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรงนี้ ทางด้านทหารอากาศและทหารเรือก็เห็นด้วยกับผู้บัญชาการทหารบก กลายเป็นแรงผลักดันให้จอมพล ถนอม กิตติขจร ต้องลาออกจากตำแหน่งและในที่สุดคณาธิปไตยทั้งสาม ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ก็ต้องเดินทางออกนอกประเทศไทยไป เหตุการณ์ทั้งหมดจึงสงบลงพลันทันทีที่มีการประกาศว่าบุคคลทั้ง 3 ได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว เมื่อเวลา 18.40 น. เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2516 เยาวชนคนหนุ่มสาวหลายคนออกจากบ้าน ไปร่วมกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ หลายคนไม่ได้กลับบ้านอีกเลย บางคนกลับ ไปด้วยร่างกายพิการ บางคนกลับไปด้วยความรู้สึกใหม่ เหตุการณ์ 14 - 15 ตุ ลาคม มีผู้เสียชีวิต 77 คน บาดเจ็บ 857 คน






อนุเสาวรีย์วีรชนคนกล้า